เนื้อหาของคอร์ส
หน่วยที่ ๓ เรื่องละครไทย
ละครไทยจะต้องมีทักษะในการแสดงที่หลากหลายรูปแบบ ในการสื่อความหมายในการแสดง ละครไทย มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในแต่ละยุค
0/4
หน่วยที่ 4 เรื่องการชม วิจารณ์ และประเมินคุณภาพการแสดง
การชม วิจารณ์ และประเมินคุณภาพการแสดง จะต้องวิจารณ์การแสดงตามหลักนาฏศิลป์และการละคร ตลอดจนพัฒนาและใช้เกณฑ์การประเมินการแสดง
0/1
นาฏศิลป์ ศ31102 ม.4 ภาคเรียนที่ 2
เกี่ยวกับบทเรียน

องค์ประกอบสำคัญของละครไทย

  • ต้องมีเรื่อง ตัวละครจะเจรจาไปตามเนื้อเรื่องของบทละคร บุคลิกลักษณะของตัวละครได้ชัดเจน
  • มีเนื้อหาสรุป หรือแนวคิดของเรื่อง เช่น บ่งบอกความรัก ความเสียสละ ความกล้าหาญ หรือมุ่งสอนคติธรรม เป็นต้น
  • ต้องสร้างบุคลิกลักษณะของตัวละคร นิสัย บุคลิกลักษณะ กิริยาท่าทางของตัวละครต้องสอดรับกับเนื้อหาสรุป
  • ต้องมีบรรยากาศ ละครต้องสร้างบรรยากาศให้กลมกลืนกับการแสดงของตัวละคร เช่น ฉาก แสง สี เสียง เป็นต้น

ละครรำ

ละครที่ใช้ศิลปะการร่ายรำดำเนินเรื่อง มี ๒ ประเภท คือ

  • ละครรำแบบดั้งเดิม
  • ละครที่ปรับปรุงขึ้นใหม่

ละครรำแบบดั้งเดิม

ละครชาตรี

  • เป็นละครรำแบบแรกของละครไทย
  • กำเนิดขึ้นในสมัยอยุธยา ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย
  • มีผู้แสดงหลัก ๓ ตัว คือตัวนายโรง (พระ) ตัวนาง และตัวตลก
  • นิยมแสดงเรื่องพระสุธนและนางมโนห์รา จึงเรียกการแสดงละครประเภทนี้ว่า โนราชาตรี เป็นที่นิยมแพร่หลายกันในภาคใต้

ละครนอก

  • ใช้แสดงกันนอกเขตพระราชวัง
  • เริ่มต้นมาจากการละเล่นพื้นเมือง ต่อมามีการจับเป็นเรื่องเป็นตอน เป็นละครที่ดัดแปลงมาจากละครโนราชาตรี
  • ใช้ผู้แสดงเป็นชายล้วน

ละครใน

  • เกิดขึ้นในสมัยอยุธยา แผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
  • บทละครที่นิยมนำมาแสดงมีเพียง ๓ เรื่อง คือ อุณรุท อิเหนา และรามเกียรติ์
  • สมัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นับว่าเป็นยุคทองของการละครและวรรณคดี
  • กรมขุนพิทักษ์มนตรี เป็นผู้สืบทอดการแสดงละครใน

โขน

  • เป็นการแสดงที่คล้ายละคร แต่สวมศีรษะที่เรียกว่า หัวโขน
  • โขนแต่เดิมมีเฉพาะโขนหลวงประจำราชสำนัก พระมหากษัตริย์ทรงถือว่าโขนเป็นราชูปโภคส่วนพระองค์ มีการฝึกหัดไว้แสดงเฉพาะงานพระราชพิธี
  • การแสดงโขนนิยมเรื่อยมาตั้งแต่สมัยอยุธยา สมัยธนบุรี จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์

ละครที่ปรับปรุงขึ้นใหม่

ละครดึกดำบรรพ์

  • มีการแสดงเป็นฉากแบบตะวันตก
  • ผู้แสดงร้องรำเอง ไม่มีลูกคู่
  • ต้นเสียงร้องเหมือนละครใน ไม่มีการบรรยายกิริยาของตัวละคร

ละครพันทาง

  • ปรับตามอย่างละครนอก แค่เพิ่มท่ารำที่มาจากกิริยาท่าทางของชาติต่างๆ
  • เรื่องที่แสดงนำมาจากพงศาวดาร วรรณคดี เช่น สามก๊ก ราชาธิราช พระลอ เป็นต้น

ละครเสภา

  • ดำเนินเรื่องด้วยการขับเสภา มีสำเนียงบอกภาษา เช่น เสภาลาว เสภามอญ เป็นต้น
  • ใช้กรับขยับตามแบบแผน มีตัวละครรำประกอบบทเสภาและ บทร้อง
  • นิยมนำมาแสดง คือ เรื่อง ขุนช้างขุนแผน และเรื่อง ไกรทอง

โขน

  • เป็นการแสดงที่คล้ายละคร แต่สวมศีรษะที่เรียกว่า หัวโขน
  • โขนแต่เดิมมีเฉพาะโขนหลวงประจำราชสำนัก พระมหากษัตริย์ทรงถือว่าโขนเป็นราชูปโภคส่วนพระองค์ มีการฝึกหัดไว้แสดงเฉพาะงานพระราชพิธี
  • การแสดงโขนนิยมเรื่อยมาตั้งแต่สมัยอยุธยา สมัยธนบุรี จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์

ละครที่ไม่ใช้ท่ารำ

ละครร้อง

  • เป็นละครร้องล้วนๆ ดำเนินเรื่องด้วยการร้อง ไม่มีบทพูดแทรก ตัวละครขับร้องกลอนโต้ตอบกัน โดยใช้ท่าทีอย่างสามัญชน
  • มีการเปลี่ยนฉากตามท้องเรื่อง ละครร้องสลับพูดมีการเพิ่มบทพูดสลับทบทวนบทร้อง
  • ตัวละครเอกใช้ผู้หญิงแสดงทั้งหมด ผู้ชายเป็นเพียงตัวประกอบ

ละครพูด

  • สมัยแรกๆ ใช้ผู้แสดงเป็นชายล้วนๆ จนเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้มีการแสดงเรื่อง กลแตก จึงใช้ผู้แสดงเป็นชายจริงหญิงแท้
  • การแสดงดำเนินเรื่องด้วยการพูด เรียกว่า ละครพูดล้วนๆ และถ้ามีร้องเพลงสลับเรียกว่า ละครพูดสลับลำ
  • มีเพียงเรื่องเดียวที่บทเจรจามีลักษณะเป็นคำฉันท์ คือมัทนะพาธา หรือตำนานดอกกุหลาบ