เนื้อหาของคอร์ส
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 กำเนิดพระศาสนจักรและงานแพร่ธรรม ของบรรดาอัครสาวก
อัครสาวกของพระเยซู คือ ผู้ที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกให้มาใช้ชีวิตอยู่กับพระองค์ เพื่อเป็นผู้สืบทอด งานของพระองค์ นักบุญเปโตรและเปาโลคือสองเสาหลักของการก่อตั้งพระศาสนจักรในยุคแรกเริ่ม
0/2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ประวัติพระเยซูเจ้าและอัครสาวก พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์และพระจิตเสด็จลงมา
หลังจากที่พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ได้ประทานพระจิตเจ้าแก่บรรดาอัครสาวก เพื่อให้พวกเขาสืบสานพันธกิจของพระเยซูเจ้าต่อไปบนแผ่นดินนี้
หย่วยการเรียนรู้ที่ 3 หลักธรรมคำสอนและความเชื่อคาทอลิก : พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่
พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ประกอบด้วย หนังสือพระวรสารทั้งสี่ กิจการอัครสาวก บทจดหมายต่าง ๆ และหนังสือวิวรณ์ รวมทั้งหมดมีจำนวน 27 เล่ม
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 หลักปฏิบัติ : สรุปพระบัญญัติ 10 ประการ
พระบัญญัติบอกให้รักพระเจ้า ด้วยสิ้นสุดจิตใจ และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง พระเจ้าประทานพระบัญญัติ 10 ประการ เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตของคริสตชน ที่รักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และมนุษย์กับเพื่อนมนุษย์
วิชาคริสตศาสตร์ 3 ม.2 ภาคเรียนที่ 1
เกี่ยวกับบทเรียน

อัครสาวกของพระเยซูเจ้า

พระเยซูเจ้าทรงเลือกอัครสาวกสิบสองคน
          ครั้งนั้นพระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนาและทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าตลอดทั้งคืน ครั้นรุ่งเช้า พระองค์ทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาแล้วทรงคัดเลือกไว้สิบสองคน ประทานนามว่า “อัครสาวก” คือซีโมน ซึ่งเรียกว่าเปโตร อันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบ ยอห์น ฟีลิป บาร์โธโลมิว มัทธิว โทมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ซีโมนผู้มีสมญาว่า “ผู้รักชาติ” ยูดาส บุตรของยากอบ และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้จะเป็นผู้ทรยศ

พระเยซูเจ้าทรงเรียกอัครสาวก
          ในอดีต พระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของเราโดยทางประกาศกและผู้นำสาร พวกท่านได้ประกาศถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์จะแจ้งแก่ประชากรของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกร้องจากประชากรของพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ทว่าพวกเขากลับไม่ยอมฟังเสียงของบรรดาประกาศก พวกเขากลับหันออกจากเส้นทางของพระเจ้าและทำบาป
          และแล้ว เวลาแห่งการเลือกสรรก็มาถึง เมื่อพระเจ้าทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์คือ พระเยซูเจ้ามาบังเกิดที่เมืองเบธเลเฮม และทรงเจริญวัยขึ้นที่เมืองนาซาเร็ธ สถานที่ซึ่งได้รับการเลี้ยงดูโดยนักบุญโยเซฟและพระนางมารีย์
          เมื่อพระเยซูเจ้าทรงมีพระชนมายุราว 30 พรรษา พระองค์ทรงเสด็จออกจากเมืองนาซาเร็ธและเดินทางไปทั่วอิสราเอลเพื่อเทศนาสั่งสอนถึงข่าวประเสริฐ พระองค์ทรงประกาศว่าพระอาณาจักรของพระเจ้านั้นอยู่ใกล้แล้ว
          พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นคำกล่าวที่พูดถึงประชาชนที่ดำรงชีวิตอยู่ในความรักของพระเจ้า พระเยซูเจ้าทรงตรัสถึงวิธีที่พระเจ้าจะทรงให้อภัยบาปแก่เรา และวิธีที่เราจะหลีกหนีจากความบาปต่างๆ เพื่อที่จะได้อยู่ในความยุติธรรมและความเมตตา
          ผู้คนจำนวนมากเข้ามาฟังพระเยซูเจ้าทรงเทศนาสั่งสอนและเห็นอัศจรรย์มากมายที่พระองค์ทรงกระทำ บางคนได้ติดตามพระองค์และกลายเป็นศิษย์ของพระองค์ ในเวลาต่อมาพระเยซูเจ้าทรงคัดเลือกศิษย์เพียง 12 คนจากบรรดาศิษย์คนอื่นๆ ให้มาเป็นเพื่อนร่วมงานพิเศษและเริ่มปฏิบัติภารกิจของพระองค์ ภายหลังจากที่พระองค์เสด็จกลับไปหาพระบิดาในสวรรค์แล้ว นี่คืออัครสาวกทั้ง 12 คน

นักบุญเปโตร
ฉลองวันที่ 29 มิถุนายน

          หัวหน้าของบรรดาอัครสาวกคือ นักบุญเปโตร ผู้ซึ่งรู้จักกับพระเยซูเจ้าครั้งแรกโดยผ่านทางน้องชายของท่าน นักบุญอันดรูว์ ในวันนั้นเปโตรกำลังจับปลาอยู่กับน้องชายอยู่บนเรือของบิดาของพวกเขา พระเยซูเจ้าได้ทรงเรียกท่าน และท่านก็ละทิ้งเรือของบิดา และติดตามพระองค์ไป
          นักบุญเปโตรได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่หลายอย่าง เช่น พระเยซูเจ้าทรงรักษาแม่ยายของท่านให้หายจากอาการไข้ ได้เห็นพระองค์ทำให้บุตรสาวของไยรัสฟื้นขึ้นมามีชีวิต ท่านยังได้อยู่กับพระเยซูเจ้าตอนที่พระองค์ทรงเผยพระสิริรุ่งโรจน์บนภูเขาทาบอร์ ระหว่างที่พระองค์ทรงจำแลงพระวรกาย
          ในคืนที่พระเยซูเจ้าทรงถูกจับกุม นักบุญเปโตรได้ปฏิเสธว่าท่านเคยรู้จักพระเยซูเจ้า ท่านรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากกับเรื่องนี้ ซึ่งทำให้ท่านร้องไห้อย่างหนักมาก แต่พระเยซูเจ้าก็ทรงให้อภัยท่าน
          ภายหลังจากที่พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระองค์ตรัสถามนักบุญเปโตรว่า “ท่านรักเราไหม” ถึง 3 ครั้ง ทรงให้โอกาสแก่นักบุญเปโตรในการชดใช้ความผิดของท่าน หลังจากนั้นพระเยซูเจ้าได้ทรงแต่งตั้งท่านให้เป็นผู้ดูแลกลุ่มประชากรของพระองค์ และเป็นตัวแทนของพระองค์บนโลกนี้
          นักบุญเปโตรเป็นประจักษ์พยานถึงความรักของพระองค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ตอนที่ท่านถูกตรึงกางเขนที่กรุงโรม ท่านได้ขอร้องให้ตรึงกางเขนท่านแบบกลับหัวลง เพราะท่านรู้ตัวว่าตนเองไม่สมควรที่จะตายในแบบเดียวกับที่พระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชนม์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุภาพถ่อมตนของท่าน

นักบุญอันดรูว์
ฉลองวันที่ 30 พฤศจิกายน

          นักบุญอันดรูว์เป็นน้องชายของนักบุญเปโตรและเป็นชาวประมงเช่นเดียวกัน ท่านรู้จักพระเยซูเจ้าก่อนนักบุญเปโตร
          เดิมที นักบุญอันดรูว์เป็นศิษย์ของนักบุญยอห์น บัปติสต์ มาก่อน วันหนึ่งนักบุญยอห์น บัปติสต์ เห็นพระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินผ่านไป จึงทำให้ท่านประกาศแก่ผู้ฟังของท่านว่า “นี่คือลูกแกะพระเจ้า”
          เมื่อนักบุญอันดรูว์และศิษย์คนอื่นๆ ได้ยินสิ่งที่นักบุญยอห์น บัปติสต์ ได้ประกาศออกไป พวกเขาก็ติดตามพระเยซูเจ้าและกลายเป็นศิษย์ของพระองค์ นักบุญอันดรูว์ตื้นตันใจในสิ่งที่ท่านเห็นและได้ยินถึงสิ่งที่ ท่านได้บอกกับนักบุญเปโตร พี่ชายของท่านเองเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าว่า พระองค์จะต้องเป็นพระเมสสิยาห์
          นักบุญอันดรูว์ยังคงนำประชาชนให้เข้ามาหาพระเยซูเจ้าต่อไป โดยการเทศนาถึงพระวาจาของพระเจ้าไปยังประเทศในแถบตะวันออก โดยเฉพาะในประเทศกรีซ โปแลนด์ และรัสเซีย ท่านเป็นที่รักในประเทศเหล่านี้อย่างมาก และยังเป็นที่เคารพนับถืออย่างมากในประเทศแถบตะวันออกเช่นเดียวกับนักบุญเปโตรที่ได้รับความเคารพในประเทศแถบตะวันตก
          นักบุญอันดรูว์สิ้นใจบนไม้กางเขนเช่นเดียวกับพระเยซูเจ้าและนักบุญเปโตร หากแต่ว่ากางเขนที่ตรึงท่านนั้นมีรูปร่างคล้ายกับตัวอักษร X แทนที่จะเป็นกางเขนรูปร่างปกติ คือ ตัวอักษร T

นักบุญยากอบองค์ใหญ่ (บุตรเศเบดี)
ฉลองวันที่ 25 กรกฎาคม

          มีอัครสาวก 2 ท่านด้วยกันที่มีชื่อว่า ยากอบ ถ้าจะเรียกให้ต่างกัน อัครสาวกหนึ่งใน 2 ท่านนี้มีชื่อเรียกว่า นักบุญยากอบองค์ใหญ่ และอีกท่านหนึ่งมีชื่อเรียกว่า นักบุญยากอบองค์เล็ก
          นักบุญยากอบองค์ใหญ่เป็นชาวประมงเช่นเดียวกับนักบุญยอห์นน้องชายของท่าน นักบุญเปโตร และนักบุญอันดรูว์ ท่านละทิ้งเรือของบิดารวมถึงหน้าที่ของตนเองเพื่อติดตามพระเยซูเจ้า ซึ่งจริงๆ แล้วท่านยังไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ของตน ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้ทำการจับปลาอีกเลย แต่ท่านได้กลายเป็น “ชาวประมงหามนุษย์” แทน
          นักบุญยากอบเป็นหนึ่งในสามอัครสาวกที่ยิ่งใหญ่ เพราะทุกครั้งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำบางอย่างที่สำคัญ พระองค์มักจะพาอัครสาวก 3 ท่านนี้ไปด้วยเสมอ คือ นักบุญเปโตร นักบุญยากอบ และนักบุญยอห์น  พวกท่านได้อยู่กับพระเยซูเจ้าเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงปลุกบุตรสาวของไยรัสให้ฟื้นขึ้นจากความตาย ทรงเผยพระสิริรุ่งโรจน์บนภูเขาทาบอร์ และทรงอธิษฐานภาวนาในคืนวันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ที่สวนเกทเสมนีด้วย
          นักบุญยากอบได้เทศนาถึงพระวาจาของพระเจ้าไปทั่วแคว้นยูเดียและแคว้นสะมาเรีย แม้จะมีตำนานเล่าว่าท่านได้เดินทางไปไกลมากจนถึงประเทศสเปนเพื่อประกาศข่าวดีก็ตาม ท่านเป็นหนึ่งในมรณสักขีองค์แรกๆ ในพระศาสนจักร และได้สิ้นใจเพื่อปกป้องความเชื่อในช่วง ค.ศ. 43 ภายหลังจากการกำเนิดพระศาสนจักรเพียงแค่ 10 ปี

นักบุญยอห์น
ฉลองวันที่ 27 ธันวาคม

          อัครสาวกหลายคนจะมีชื่อเรียกของพวกเขา เช่น นักบุญเปโตร คือ ศิลา นักบุญยากอบทั้งสองท่าน คือ องค์ใหญ่และองค์เล็ก และนักบุญโทมัส คือ ผู้สงสัย ชื่อเรียกของนักบุญยอห์นนั้นมีความหมายมากที่สุด เพราะท่านถูกเรียกว่า ผู้เป็นที่รัก
          นักบุญยอห์นเป็นชาวประมงเหมือนกับนักบุญยากอบ พระเยซูเจ้าทรงเรียกท่านให้ละทิ้งหน้าที่ของตนและทิ้งเรือของบิดา เพื่อติดตามพระองค์
          ทุกครั้งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำบางอย่างที่สำคัญ นักบุญยอห์นมักจะอยู่กับพระเยซูเจ้าพร้อมด้วยนักบุญเปโตร และนักบุญยากอบเสมอ
          ในเหตุการณ์อาหารค่ำมื้อสุดท้าย นักบุญยอห์นนั่งใกล้พระเยซูเจ้าและถามพระองค์ถึงผู้ที่จะทรยศพระองค์ ท่านยังติดตามพระเยซูเจ้าไปด้วยเมื่อตอนที่พระองค์ถูกจับกุม หรือแม้แต่ยืนอยู่ที่เชิงไม้กางเขน ท่านไม่ละทิ้งพระเยซูเจ้าในขณะที่อัครสาวกคนอื่นๆ วิ่งหนีเอาตัวรอดไป
          ด้วยเหตุนี้พระเยซูเจ้าจึงได้ฝากแม่ของพระองค์ไว้กับนักบุญยอห์นและฝากยอห์นให้กับแม่ของพระองค์เช่นกัน นักบุญยอห์นได้ดูแลพระนางมารีย์ตลอดช่วงชีวิตของพระนางที่ยังเหลืออยู่บนโลกนี้ จนถึงวันที่พระนางได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณ
          นักบุญยอห์นได้ประพันธ์พระวรสารของท่าน จดหมาย 3 ฉบับ และหนังสือวิวรณ์ เพื่อที่จะประกาศข่าวดี ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ท่านถูกส่งไปที่เกาะปัทมอสเพื่อรับการลงโทษเพราะเป็นคริสตชน

นักบุญฟิลิป
ฉลองวันที่ 3 พฤษภาคม

          นักบุญฟิลิปเป็นหนึ่งในอัครสาวกคนแรกๆ ที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับท่านอย่างง่ายว่า “ตามเรามาเถิด” แล้วฟิลิปก็ได้ละจากสิ่งที่ตนเองกำลังทำและติดตามพระองค์ไป ท่านเรียก ‘นาธานาแอล’ เพื่อนของท่านในทันทีและบอกกับเขาถึงเรื่องที่ท่านได้พบกับคนที่โมเสสและบรรดาประกาศกได้ทำนายไว้แล้ว
          ความเชื่อของฟิลิปไม่ได้ดีเสมอไป เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทวีขนมปังและปลา เลี้ยงคน 5,000 คน พระองค์ได้ตรัสถามฟิลิปว่าควรจะให้พระองค์ทำอย่างไรต่อไปดี ซึ่งฟิลิปยังไม่รู้ถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์นั้นเป็นอย่างไร ดังนั้นท่านจึงตอบกลับว่า แม้แต่เงินค่าแรงงาน 200 วัน ก็ยังไม่พอซื้ออาหารเลี้ยงคนทั้งหมด 5,000 คน พระเยซูเจ้าจึงทรงทำให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์โดยการทวีขนมปัง 5 ก้อน และปลา 2 ตัว และสุดท้ายอาหารก็มีเพียงพอสำหรับทุกคน
          ต่อมา ฟิลิปได้แสดงความเชื่อของตนในการนำประชาชนบางคนที่มาจากประเทศกรีซมาหาพระเยซูเจ้า ซึ่งพวกเขาก็ได้ฟังพระองค์ตรัสสอนด้วย ท่านต้องการแบ่งปันถึงสิ่งสำคัญที่ท่านได้ค้นพบในชีวิตและความเชื่อของตนในพระเยซูเจ้าด้วย
          ฟิลิปได้เทศนาถึงพระวาจาของพระเจ้าไปทั่วดินแดนซึ่งปัจจุบันคือประเทศตุรกี ท่านได้สิ้นใจเพื่อปกป้องความเชื่อในราวๆ ค.ศ. 80

นักบุญบาร์โธโลมิว
ฉลองวันที่ 24 สิงหาคม

          มีอัครสาวกอยู่บางท่านที่เรารู้จักท่านเพียงเล็กน้อย นักบุญบาร์โธโลมิวเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
          ในพระวรสารของนักบุญยอห์น นักบุญบาร์โธโลมิวปรากฏมาในชื่อที่แตกต่างกัน คือ ‘นาธานาแอล’ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ผู้คนจะมี 2 ชื่อในสมัยก่อน เช่น ซีมอน หรือที่เรารู้จักในนามว่า เปโตร เซาโล คือ เปาโล บาร์โธโลมิว คือ นาธานาแอล เช่นกัน
          ฟิลิปเป็นผู้เรียกนาธานาแอลและได้บอกถึงเรื่องราวของพระเยซูเจ้า นาธานาแอลใช้ชีวิตของท่านศึกษาถึงกฎหมายและบรรดาประกาศก และท่านก็ไม่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ เพราะพระองค์มาจากเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งเป็นเมืองที่ยากจนมาก นาธานาแอลคิดว่าพระเมสสิยาห์จะต้องเป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวย
          พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยว่าพระองค์เป็นใครแก่นาธานาแอล โดยบอกท่านว่าพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเขาอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ เป็นสถานที่ซึ่งพวกชาวยิวจะมานั่งศึกษาพระคัมภีร์กัน แล้วพระองค์บอกกับนาธานาแอลต่อไปว่าพระองค์คือบุคคลเดียวกับที่นาธานาแอลกำลังอ่านอยู่ในพระคัมภีร์ พระเยซูเจ้ายังทรงให้สัญญากับนาธานาแอลว่า เขาจะได้เห็นแม้กระทั่งสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก
          นักบุญบาร์โธโลมิว (นาธานาแอล) เป็นมิชชันนารีในอาราเบีย ตุรกี และอินเดีย ท่านได้สิ้นใจเพื่อปกป้องความเชื่อในประเทศอาร์เมเนีย ซึ่งกลายเป็นอาณาจักรของคริสตชนแห่งแรกในโลก

นักบุญมัทธิว
ฉลองวันที่ 21 กันยายน

          นักบุญมัทธิวเป็นบุคคลที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ เพราะท่านไม่ใช่ชาวประมงหรือผู้ที่ศึกษาพระคัมภีร์ ในตอนที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกท่านนั้น ท่านเป็นคนเก็บภาษี
          ในสมัยของพระเยซูเจ้า ประชาชนชาวยิวเกลียดบรรดาคนเก็บภาษี เพราะพวกเขาจะต้องเก็บภาษีเหล่านั้นให้แก่อาณาจักรโรมัน ซึ่งเป็นศัตรูกับชาวยิว อีกทั้งพวกเขามักฉ้อโกงประชาชนอยู่บ่อยๆ ผู้คนชาวยิวจึงไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องและไม่เคยคิดที่จะดื่มกินกับพวกเขาด้วย
          พระเยซูเจ้าทรงเรียกนักบุญมัทธิวให้มาติดตามพระองค์ แล้วพระองค์ได้เสด็จไปที่บ้านของนักบุญมัทธิวเพื่อเสวยพระกระยาหารเย็นร่วมกับเขาและบรรดามิตรสหายของเขา หัวหน้าชาวยิวรู้สึกโกรธที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำเช่นนั้น พวกเขาคิดว่าเป็นสิ่งที่แย่มากที่พระองค์ร่วมเสวยพระกระยาหารกับผู้คนเหล่านี้ แต่พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับพวกเขาว่า พระองค์ได้มาเพื่อรับใช้ผู้คนเหล่านี้ เพราะพวกเขาจิตใจอ่อนแอและต้องการบำบัดรักษาจากพระองค์
          ต่อมา นักบุญมัทธิวได้เขียนพระวรสารขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ได้อย่างไร นั่นจึงเป็นเหตุให้ท่านเริ่มต้นพระวรสารโดยการเล่าเกี่ยวกับเชื้อสายบรรพบุรุษของพระเยซูเจ้าย้อนกลับไปจนถึงอับราฮัม ซึ่งเป็นบิดาแห่งชนชาติยิว
          ธรรมประเพณีได้บอกกับเราว่านักบุญมัทธิวได้เดินทางไปที่ประเทศเอธิโอเปียเพื่อเทศนาถึงพระวาจาของพระเจ้า

นักบุญโทมัส
ฉลองวันที่ 3 ตุลาคม

          ไม่ใช่ทุกคนที่จะพบและมีความเชื่อได้ง่ายๆ นักบุญโทมัสเป็นหนึ่งในบุคคลที่พยายามจะมีความเชื่อ
          เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบว่าลาซารัส เพื่อนของพระองค์กำลังป่วย และนั่นทำให้พวกเขาควรกลับไปที่กรุงเยรูซาเล็ม นักบุญโทมัสได้บอกกับสานุศิษย์คนอื่นๆว่า “พวกเราจงไปด้วยกันกับพระองค์เถิด เพื่อจะได้ตายกับพระองค์” แต่นักบุญโทมัสกลับมีความกล้าหาญเพียงแค่คำพูดมากกว่าการกระทำ ทำให้ท่านวิ่งหนีไปพร้อมกับอัครสาวกคนอื่นๆ ในเหตุการณ์พระมหาทรมานของและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า
          ต่อมาเมื่อพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากความตายและเผยพระองค์แก่บรรดาอัครสาวก นักบุญโทมัสไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย เมื่อบรรดาอัครสาวกบอกกับนักบุญโทมัสว่าพระเยซูเจ้าได้ทรงกลับคืนชีพ ท่านก็ไม่เชื่อพวกเขา ท่านกล่าวว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกายของพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด”
วันอาทิตย์ต่อมา พระเยซูเจ้าทรงเผยพระองค์ต่อหน้าพวกเขาและตรัสแก่นักบุญโทมัสว่า “จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชื่อเถิด” โทมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า”
          จากเรื่องราวนี้ได้เตือนพวกเราว่า เราไม่สามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ตลอดเวลา แต่เราต้องมีความเชื่อ ตัวอย่างเช่น ในพิธีบูชาขอบพระคุณ จะมีแผ่นปังและเหล้าองุ่นประกอบอยู่ในพิธี หากมองผ่านๆ แล้วก็เป็นเพียงแค่แผ่นปังและเหล้าองุ่นธรรมดา แต่เราก็ต้องมีความเชื่อว่านั่นคือพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้าอย่างแท้จริง
          นักบุญโทมัสได้เทศนาสั่งสอนที่ประเทศเปอร์เซียและประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นสถานที่สิ้นใจเพื่อปกป้องความเชื่อของท่าน

นักบุญยากอบองค์เล็ก (บุตรอัลเฟอัส)
ฉลองวันที่ 3 พฤษภาคม

          มีอัครสาวก 2 ท่านด้วยกันที่มีชื่อว่ายากอบ ถ้าจะเรียกให้ต่างกัน อัครสาวกหนึ่งใน 2 ท่านนี้มีชื่อเรียกว่า นักบุญยากอบองค์ใหญ่ และอีกท่านหนึ่งมีชื่อเรียกว่า นักบุญยากอบองค์เล็ก เราได้เห็นนักบุญยากอบองค์ใหญ่ไปแล้ว ซึ่งท่านเป็นพี่ชายของนักบุญยอห์นและเป็นหนึ่งในอัครสาวกที่ยิ่งใหญ่ นักบุญยากอบองค์เล็กเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระเยซูเจ้าและเป็นพี่ชายของนักบุญยูดา (ธัสเดอัส) อัครสาวก (และอาจเป็นญาติกับนักบุญซีโมน จากกลุ่มชาตินิยม ด้วย)
          หลังจากที่พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ของแล้ว นักบุญยากอบกลายเป็นผู้นำกลุ่มคริสตชนที่กรุงเยรูซาเล็ม ณ ที่นั่นท่านเป็นผู้ช่วยกำหนดทิศทางในการก่อตั้งพระศาสนจักรในยุคแรก
ต่อมา เมื่อท่านได้เขียนจดหมายถึงผู้มีความเชื่อทั่วโลก ท่านได้พูดถึงความสำคัญในการที่จะนำความเชื่อของเราลงมาสู่ภาคปฏิบัติ มันเป็นความรู้สึกแย่ที่ยังไม่พอสำหรับผู้คนที่ไม่มีสิ่งใดประทังชีวิต เราต้องทำบางสิ่งบางอย่างให้กับพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่หิวอีก
          ท่านยังได้เตือนถึงผลร้ายของการนินทาว่าร้ายด้วย สิ่งต่างๆเหล่านี้สามารถทำร้ายผู้อื่นได้อย่างมาก เมื่อเรานำเรื่องนั้นๆ ไปเล่าต่อ (ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง) เราสามารถทำลายวิญญาณของบุคคลเหล่านั้นได้
นักบุญยากอบองค์เล็กสิ้นใจเพื่อปกป้องความเชื่อของท่านที่กรุงเยรูซาเล็ม ราวๆ ปี ค.ศ. 42

นักบุญซีโมน จากกลุ่มชาตินิยม
ฉลองวันที่ 28 ตุลาคม

          ในสมัยของพระเยซูเจ้า มีกลุ่มของชาวยิวในประเทศอิสราเอลที่ต้องการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของพวกเขา เมื่ออาณาจักรโรมันมีชัยชนะเหนืออิสราเอลและเข้าปกครองด้วยความโหดร้ายเป็นอย่างมาก ชาวยิวเหล่านี้จึงได้ต่อสู้กับอาณาจักรโรมันและเรียกตนเองว่า “กลุ่มชาตินิยม” (Zealots)
          ชายคนหนึ่งในกลุ่มชาตินิยมมีนามว่า ซีโมน ท่านได้ติดตามพระเยซูเจ้า เราไม่ค่อยทราบถึงเรื่องราวของท่านมากนัก นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าท่านเป็นญาติกับพระเยซูเจ้า นักบุญยากอบ และนักบุญยูดา
กลุ่มชาตินิยมและชาวยิวหลายคนคิดว่าพระเยซูเจ้าคือผู้ที่จะเสด็จมาเป็นพระเมสสิยาห์เพื่อต่อสู้กับอาณาจักรโรมัน แต่พระเยซูเจ้าไม่ได้มาเพื่อก่อตั้งอาณาจักรบนโลกนี้ อาณาจักรของพระองค์ไม่ได้อยู่บนโลก
พระเยซูเจ้ามาเพื่อประกาศถึงข่าวดีต่างๆ เกี่ยวกับพระอาณาจักรของพระเจ้าซึ่งอยู่บนโลกนี้แล้ว อาณาจักรของพระเจ้านั้นคือความยุติธรรม ความเมตตา และความรัก
          แม้ว่าในตอนแรกนักบุญซีโมนอาจจะติดตามพระเยซูเจ้าด้วยเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง แต่ท่านก็ได้รู้ถึงความหมายที่พระเยซูเจ้าให้ไว้บนไม้กางเขน การกลับคืนพระชนมชีพ และโดยเฉพาะวันที่พระจิตเจ้าได้เสด็จลงมาเหนือท่าน เหนือบรรดาอัครสาวกอื่นๆ และเหนือพระนางมารีย์ในวันเปนเตกอสเต
          นักบุญซีโมนได้เทศนาถึงพระวาจาของพระเจ้าที่ประเทศ อาราเบียและเปอร์เซีย ซึ่งเป็นสถานที่สิ้นใจเยี่ยงมรณสักขีเพื่อปกป้องความเชื่อของท่าน

นักบุญยูดา ธัสเดอัส
ฉลองวันที่ 28 ตุลาคม

          ในหลายๆ แง่มุมแล้ว นักบุญยูดาเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากกว่าที่ท่านเป็นมาในทุกวันนี้ เมื่อครั้งที่ท่านเริ่มเทศนาสั่งสอนครั้งแรก
          นักบุญยูดาเป็นน้องชายของนักบุญยากอบองค์เล็ก และเป็นไปได้มากว่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระเยซูเจ้า (รวมถึงเป็นญาติกับนักบุญซีโมน จากกลุ่มชาตินิยม ด้วย)
          หนึ่งในบรรดาจดหมายในหนังสือพันธสัญญาใหม่ได้ถูกเขียนขึ้นโดยนักบุญยูดา ท่านได้เตือนประชาชนให้ระวังและหลีกเลี่ยงความเชื่อที่ผิดแปลกไป ท่านกล่าวว่าบางคนใช้เวลาทั้งหมดของเขาคิดถึงแต่ความคิดแปลกๆ พวกเขากำลังสับสนในหมู่คนดีและอาจพาเขาให้หลงไปในทางที่ผิดได้
          อย่างไรก็ตาม นักบุญยูดาได้บอกกับบรรดาผู้อ่านของท่านให้มีความสุภาพกับบุคคลที่ประพฤติผิด ท่านตระหนักอยู่เสมอว่าความรักจะนำผู้คนจำนวนมากมายไปสู่พระเยซูคริสตเจ้ามากกว่าความเกลียดชัง
นักบุญยูดาได้เทศนาสั่งสอนในแถบดินแดนอาราเบียพร้อมกับนักบุญซีโมน และสิ้นใจเพื่อปกป้องความเชื่อในประเทศเปอร์เซียพร้อมกับเขา
          ทุกวันนี้ นักบุญยูดาเป็นที่รู้จักกันในฐานะเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของผู้ที่สิ้นหวัง ผู้คนทั่วโลกสวดภาวนาขอพรโดยผ่านทางคำเสนอวิงวอนของท่าน ในเวลาที่พวกเขารู้สึกว่าไม่มีใครที่จะสามารถกลับมาหาตนได้ พวกเขาก็จะรู้สึกบรรเทาใจขึ้น ในความเป็นจริงแล้วพวกเขามีเพื่อนที่คอยภาวนาร่วมกันและภาวนาให้กับพวกเขาอยู่เสมอ

ยูดาส อิสคาริโอท

          เดิมที อัครสาวกมีทั้งหมด 12 คน มี 11 คน เป็นนักบุญ มีเพียงแค่ 1 คนที่ไม่ได้เป็น คือ ยูดาส ซึ่งเป็นคนเดียวที่ทรยศพระเยซูเจ้า
          ทำไมพระเยซูเจ้าจึงทรงเลือกยูดาสให้มาเป็นอัครสาวก อาจเป็นไปได้ว่าพระเยซูเจ้าอยากให้โอกาสกับคนที่กลับใจและเลือกชีวิตใหม่
          แต่สำหรับยูดาส เขาไม่ได้ต้องการที่จะเลือกชีวิตใหม่ เขาไปพบหัวหน้าสมณะและยื่นข้อเสนอเพื่อขายพระเยซูเจ้าเป็นเงินจำนวน 30 เหรียญ
          ยูดาสได้รับโอกาสในวันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ คืนที่รับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้าย ในระหว่างรับประทานอาหาร พระเยซูเจ้าทรงทำนายว่ายูดาสจะทรยศพระองค์ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วพระเยซูเจ้าเสด็จไปยังสวนเกทเสมนีเพื่ออธิษฐานภาวนา ยูดาสพบพระองค์ที่นั่นและทักทายพระองค์โดยการจูบ และให้สัญญาณแก่นายทหารเฝ้าพระวิหารให้เข้าจับกุมพระองค์ทันที พวกเขาคุมตัวพระเยซูเจ้าและนำพระองค์ไป
          ถึงแม้ว่าตอนนี้ พระเจ้าจะทรงให้อภัยต่อบาปที่เลวร้ายของยูดาสแล้ว แต่ยูดาสกลับปฏิเสธที่จะได้รับการให้อภัยนั้น เขานำเงินที่ได้รับจากการขายพระเยซูเจ้าไปโยนทิ้งที่เท้าของหัวหน้าสมณะ แล้วออกไปเพื่อฆ่าตัวตาย

นักบุญมัทธีอัส
ฉลองวันที่ 14 พฤษภาคม

          หลังจากที่ยูดาสเสียชีวิตแล้ว เหลืออัครสาวกเพียง 11 คนเท่านั้น พวกเขาทั้งหมดชุมนุมกันที่ห้องชั้นบน ซึ่งเป็นสถานที่ใช้รับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้าย เพื่อปรึกษาหารือกันว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
          นักบุญเปโตรได้กล่าวกับทุกคนว่า พวกเราควรเลือกศิษย์บางคนเพื่อมาแทนที่ยูดาส เพื่อให้ครบ 12 คน เพราะว่าเป็นเลขพิเศษสำหรับประชากรชาวอิสราเอลซึ่งมี 12 เผ่า และผู้นำ 12 คน ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเผ่าทั้งหมด 12 เผ่านี้ ณ ตอนนี้พระเยซูเจ้าได้ก่อตั้งแผ่นดินอิสราเอลใหม่และพระศาสนจักรใหม่ ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีอัครสาวก 12 คนสำหรับแผ่นดินอิสราเอลใหม่ด้วย
          อัครสาวกคนใหม่ควรจะเป็นใครสักคนที่ติดตามพระเยซูเจ้าเรื่อยมาตั้งแต่ในสมัยของนักบุญยอห์น บัปติสต์ จนถึงวันที่พระองค์เสด็จสู่สวรรค โดยมีความเป็นไปได้เพียง 2 คน ได้แก่ บาร์ซับบาสและมัทธีอัส
          บรรดาอัครสาวกได้ฝากการเลือกสรรนี้ให้เป็นไปโดยพระพรของพระจิตเจ้า พวกเขาพากันอธิษฐานภาวนาและภาวนาให้แก่บาร์ซับบาสและมัทธีอัสเป็นพิเศษ สุดท้ายผู้ที่ถูกเลือกคือมัทธีอัส กลายเป็นอัครสาวกคนที่ 12
          นักบุญมัทธีอัสได้เทศนาสั่งสอนที่แคว้นยูเดีย จากนั้นไปที่ประเทศเอธิโอเปีย ซึ่งเป็นสถานที่ท่านสิ้นใจเพื่อปกป้องความเชื่อ

นักเรียนสามารถศึกษาความรู้เพิ่มเติมได้จากลิงก์ด้านล่าง

ขอบคุณสื่อจาก แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

 

ให้นักเรียนทำ ใบงานที่ 2 อัครสาวกของพระเยซูเจ้า

ในแบบเรียนวิชา คริสต์ศาสนา ม.2 หน้า 28